
“Joy Ride” ธุรกิจเพื่อความอิ่มใจ ไม่ใช่เม็ดเงิน
Highlight: “Joy Ride” ธุรกิจเพื่อความอิ่มใจ ไม่ใช่เม็ดเงิน ธุรกิจแนวใหม่ของ “จอย – ณัฐกาญจน์ เด่นวณิชชากร” ที่ลาออกจากงานประจำ ภายหลังจากรู้ว่าตนเองเป็นโรคซึมเศร้า และ เริ่มทำบริการรับส่งคนสูงอายุไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลสมาชิก ที่สมัครเข้ามาร่วมทีม ล้วนแล้วแต่มีความต้องการที่อยากจะช่วยเหลือคนสูงอายุ ก็เลยไม่ใช่เรื่องยากสำหรับทุกคนที่จะตกลงใจเข้ามาปฏิบัติภารกิจ “ลูกรับจ้าง หลานจำเป็น”
ส่วนสำคัญของบริการ คือความรักสำหรับการบริการ ซึ่งเว้นเสียแต่ผู้ให้บริการจะต้องมีความพร้อมเพรียงในเรื่องเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับช่วยในด้านสำหรับอำนวยความสะดวก และ ด้านร่างกายแล้ว ความพร้อมเพรียงด้านจิตใจ และ ความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติของผู้ใช้บริการ ก็ เป็นสิ่งจำเป็น
นอกเหนือจากกำไรที่จะได้รับจากการทำธุรกิจ สิ่งที่ทีม ได้รับในทุกหน ๆ ที่ทำงาน คือ “ความอิ่มใจ” ที่ได้ช่วยเหลือ และ สร้างรอยยิ้มให้คนสูงอายุได้
ในโมงยามที่สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” อย่างเต็มรูปแบบ หัวข้อเรื่องสุขภาพ และ ความเป็นอยู่ของคนสูงอายุถูกเสนอขึ้นมาเอ่ยถึงอย่างมากมาย
รวมทั้งหลายข้างก็พยายามหาวิถีทางสำหรับการต่อกรกับสังคมคนสูงอายุอย่างเป็นรูปธรรม และ มีประสิทธิภาพ ภาคธุรกิจเองก็เริ่มมีผลิตภัณฑ์ และ บริการที่ตอบโจทย์คนสูงอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
เช่นเดียวกับบริการ ของ จอย – ณัฐกาญจน์ เด่นวณิชชากร ที่เริ่มต้นจากการรับส่งคนสูงอายุไปโรงพยาบาล มาสู่บริการ “ลูกรับจ้าง หลานจำเป็น” ที่ทำทุกอย่าง ที่คนสูงอายุขอ หากแม้สิ่งตอบแทนที่ได้จะยังไม่ใช่จำนวนเงินมากมาย
แม้กระนั้น “ความอิ่มใจ” คือกำไร ที่ทีมได้รับเสมอ และ นี่คือเรื่องราวของ “Joy Ride ไม่ใช่แท็กซี่ แม้กระนั้นคือ Nanny for Adult”
ออกสตาร์ทกับ Joy Ride
“จุดเริ่มต้นของบริการ ของเรา เป็นเพราะปีที่แล้ว จอยเริ่มมีอาการเบิร์นเอาท์จากการทำงาน เราก็ไปหาคุณหมอ คุณหมอเลยวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าระยะแรก แล้วสิ่งที่เห็นก็คือว่า ออกมาจากห้องคุณหมอ เราเห็นผู้สูงวัยที่พาผู้สูงวัยมาโรงพยาบาล แล้วบางคนก็เป็นผู้สูงวัยที่มาโรงพยาบาลคนเดียว ในวันนั้นทำให้จอยรู้สึกว่า อยากลาออกจากงาน เพื่อมาเยียวยาตัวเอง เลยคิดว่างั้นเรามาทำบริการพาผู้สูงวัยไปหาหมอดีไหม เพื่อจะได้ไม่ต้องทำงานออฟฟิศ” จอยเริ่มต้นเล่าถึงจุดเริ่มต้น
ภายหลังจากตกลงใจออกมาเริ่มต้นทำธุรกิจ เธอก็เจอปัญหาใหญ่โดยทันที นั่นคือ “การระบาดของโรคโควิด-19” ที่ทำให้บริการรับส่งคนสูงอายุไปโรงพยาบาลจำต้องหยุดชะงัก แม้กระนั้น จอย ก็ไม่เลิกความตั้งอกตั้งใจ จนกระทั่งได้ให้บริการลูกค้าคนแรกซึ่งเป็นคุณลุงที่อยากเดินทางกลับบ้านภายหลังหายจากโรคโควิด-19 และ นั่นคือโมเมนต์ตัดริบบิ้นของบริการ “ลูกรับจ้าง หลานจำเป็น” ที่เข้าไปนั่งในใจผู้ใช้บริการผมสีดอกเลามากมายก่ายกอง
“เราก็ทำเป็นแคมเปญ “Welcome home พาคุณกลับไปหาบ้านที่คุณรัก และคนที่คุณคิดถึง” รับผู้ป่วยที่หายจากโควิด-19 กลับบ้าน ลูกค้าคนแรกก็เป็นคุณพ่อ คนที่สองก็เป็นคุณแม่ คนที่สามก็เป็นวัยรุ่นเลยค่ะ เพราะลูกสาวต้องดูแลให้ทั้ง 3 คน ได้กลับบ้าน ก็เลยกลายเป็นว่า 3 เคสแรกก็ไม่ใช่การพาไปหาหมอ แล้วก็มีทั้งคนที่ไม่ได้เป็นผู้สูงวัยด้วย”
“แม้จะเป็นการพาผู้สูงวัยไปหาหมอ แต่ลูกค้าก็จะมีทั้งคนท้อง เด็ก คนพิการ แล้วบริการของเราไม่ใช่แค่พาไปโรงพยาบาลอย่างเดียว มีไปวัด ไหว้พระ ทำบุญ พาไปเที่ยว พาไปงานแต่งงาน พาไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปนอนที่บ้านเป็นเพื่อน พาไปดูดวง พาไปทำบุญบังสุกุลเป็น – บังสุกุลตาย พาไปเดินแฟชั่นโชว์ คือมีเยอะมาก” จอยเล่า
Joy Ride ทัศนคติผู้บริการสร้างประสบการณ์ที่สุดยอด
ภายหลังจากเริ่มต้นธุรกิจ จอยก็ได้พบกับ หญิง – นุชนาถ ขินทอง และนิน – ญาณิน สวัสดิ์ชัย ในกลุ่มเฟซบุ๊กกลุ่มหนึ่ง และ ทั้งสองคนก็เปลี่ยนมาเป็น “ทีมหลังบ้าน” ของบริการ ที่มาร่วมงานกันด้วยหัวใจ ถึงแม้ขั้นแรกจะมิได้รับค่าแรงก็ตาม
“ตอนนั้นเป็นช่วงที่พี่จอยกำลังตัดสินใจว่าจะไปต่อกับธุรกิจนี้ดีไหม ความรู้สึกแรกคือเราอยากให้กำลังใจเขา ก็เลยทักไปคุยให้กำลังใจ คือเราอาจไม่เคยทำตรงนี้มาก่อน แต่เรานึกถึงตอนที่เราดูแลอาม่าของเรา เราพอเข้าใจได้ ว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มันต้องการคนที่ใส่ใจจริง ๆ จากที่อยากให้กำลังใจเขา คุยไปคุยมาก็เลยกลายเป็นคลิกกัน แล้วเราก็อยากจะใช้ความรู้ของเราที่พอจะทำได้มาสนับสนุนเขา ก็เลยยาวมาจนถึงตอนนี้” นินกล่าว
เมื่อเราเริ่มมีลูกค้าเยอะขึ้น และ มีชื่อเสียงมากขึ้น ก็เปิดรับสมาชิกเข้ามาร่วมเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง ของทีมให้บริการคนสูงอายุ ซึ่งผู้แทนจากทีมทั้ง 3 คน ตัวอย่างเช่น หนุงหนิง – ยุพร เสรียิ่งยศ, นุช – ชมพูนุช วิวัฒน์ทระผล และวิ – ธนัญกรณ์ คลังเปรมจิตต์ ก็เล่าว่า
ไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับการตกลงใจ มาร่วมทำงานกับเรา เพราะว่า พวกเขามีความรู้สึกว่าบริการนี้เหมาะสมกับบุคลิกลักษณะนิสัยของตน ทั้งยังเป็นการช่วยเหลือคนสูงอายุ ซึ่งอีกทั้ง 3 คน เห็นว่าตนเองสามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม
“เราไม่ได้กำหนดเกณฑ์ว่าคุณต้องมีใบรับรอง ต้องผ่านการปฐมพยาบาล หรือการดูแลผู้สูงอายุมากี่ชั่วโมง เราไม่ได้ว่ากระดาษใบนั้นมีผลอะไรกับเรา อย่างแรกเลยคือเราจะพูดคุย ดูว่าเขามีความสุขในตัวเองมากน้อยแค่ไหน คือมันสำคัญมากว่า ถ้าเรามีความสุขแล้ว เราจะส่งต่อให้ผู้สูงอายุได้ยังไง ให้เขามีความสุขไปกับทุก ๆ การเดินทางของเรา โดยเราจะมีคำถามในเชิงจิตวิทยา เป็นคำถามปลายเปิดว่าถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้ คุณจะทำอย่างไร แล้วก็มีไปทำงานด้วยกันเลย เราก็จะเห็นว่าแต่ละคนมีความใส่ใจหรือกระตือรือร้นมากแค่ไหน” หญิงอธิบายเรื่องระบบคัดกรองสมาชิกของเรา
บริการที่ใช้หัวใจ และ ความรู้ความเข้าใจ
ส่วนสำคัญของบริการเรา คือความรักสำหรับการบริการ ซึ่งเว้นเสียแต่ผู้ให้บริการ จะต้องมีความพร้อมเพรียงในเรื่องเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับช่วยในด้านสำหรับอำนวยความสะดวก และ ด้านร่างกายแล้ว ความพร้อมเพรียงด้านจิตใจ
และ ความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติของผู้ใช้บริการก็เป็นสิ่งจำเป็น ที่ทีม Joy Ride ทุกคนจำต้อง ระลึกอยู่เสมอ
“จุดเริ่มต้นของ Joy Ride ที่ไปรับไปส่ง ไปดูแลที่โรงพยาบาล แต่ตอนนี้มันกลายเป็นมีหลายบริการที่เราสามารถช่วยเหลือ หรือทำให้เขารู้สึกเห็นคุณค่าของตัวเอง ไม่ได้รู้สึกว่าเขาถูกทอดทิ้ง ไม่ได้โดดเดี่ยว” นินชี้
“สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความเข้าใจ ว่าสำหรับผู้สูงวัยนั้น ด้วยภาวะร่างกายก็ดี ด้วยความชราก็ดี ด้วยอายุที่มากขึ้น ที่เขาไม่สามารถเดินเหิน หรือกระฉับกระเฉงได้เหมือนเดิม ถ้าเรามีความเข้าใจเรื่องความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย แล้วเราก็เข้าใจว่า ผู้สูงวัยส่วนหนึ่ง ไม่ใช่แค่ป่วยกาย แต่คือความเหงาใจ เราก็จะช่วยลดช่องว่างตรงนี้ แล้วก็ง่าย ๆ คือรับฟัง แต่เราฟังเขาเยอะ ๆ ว่าเขาต้องการอะไร แล้วเราก็ดูว่าสิ่งนั้น เราสามารถให้ได้ไหม ถ้าให้ได้ ไม่เป็นอันตรายกับสุขภาพเขา นั่นก็ทำให้เขาเบิกบานได้แล้วในหนึ่งวัน” จอยระบุ
ความอิ่มเอมใจคือกำไรที่ได้รับ
แม้ว่าจะเป็นบริการที่มี “ค่าใช้จ่าย” และ ผู้ให้บริการก็หวังที่จะได้รับ “ผลกำไร” เป็นจำนวนเงิน แม้กระนั้นสำหรับทีม Joy Ride กำไรที่ได้รับกลับมีมากยิ่งกว่าเรื่องของจำนวนเงิน ด้วยเหตุว่าพวกเขาได้รับ “ความอิ่มเอมใจ” ในทุกครั้งที่ได้ปฏิบัติภารกิจ ลูกรับจ้างและหลานจำเป็น
“พี่เจอคุณพ่อท่านหนึ่ง แกเป็นพาร์กินสันและเป็นโรคกระดูกทับเส้นประสาท แกก็เดินไม่ค่อยได้ วันที่เจอกันครั้งแรก ๆ แกก็น่ารัก คือบางทีเรารู้สึกว่าพอเป็นครั้งแรกที่มาเจอคนแปลกหน้า แทนที่เราจะเป็นคนให้กำลังใจเขา บางทีเขาก็พูดจาดีกับเรา ให้กำลังใจเรา ชมเรา เราไม่คิดว่าคนแปลกหน้าที่มาด้วยกันแบบนี้ เขาจะยังคิดถึงเรา ไม่ได้คิดแค่ว่าเราต้องไปดูแลเขา” หนุงหนิงเล่าความประทับใจมากการทำงานให้เราฟัง
เช่นเดียวกับหญิง และ วิ ที่สะท้อนว่า แค่ได้มองเห็นรอยยิ้มของคนสูงอายุที่ตนเองได้ได้โอกาสดูแล ก็ทำให้พวกเขาเป็นสุขมาก ๆ แล้ว เช่นเดียวกับคำบอกเล่าของคนสูงอายุ ที่บางครั้งบางคราว ทำให้พวกเขาถึงกับน้ำตาซึม
“ตอนเราไปส่งที่บ้าน เขาก็จะบอกว่าขอบคุณหนูมากนะ ถ้าวันนี้ไม่มีหนูก็แย่เลย หรือวันนี้เป็นการเดินทางที่ปลอดภัยของพี่มากเลย พี่ขอบคุณมากนะ หรือไม่งั้นก็จะเป็นคุณลูกที่โทรมา บอกว่าคุณแม่ไม่เคยชมใครเลยนะคะ ขอบคุณมากจริง ๆ ที่ดูแลแม่ให้เป็นอย่างดี” นุชบอก
“มีคุณป้าท่านหนึ่ง เป็นลูกค้าที่ใช้บริการของเราเยอะมาก คุณป้าไม่มีลูก ไม่มีหลาน อยู่กันเองกับผู้สูงวัย คุณป้าบอกกับจอยว่า ตั้งแต่ป้าได้รู้จัก Joy Ride มันทำให้ชีวิตป้ามีชีวิตชีวา เขาบอกว่า you light up my life ในวันที่ป้าอายุขนาดนี้ ป้าไม่อยากทำอะไรแล้ว ป้าไม่อยากไปไหนแล้ว ป้าเบื่อ แต่พวกหนูทำให้ชีวิตของป้ามีสีสัน แล้วก็อยากกลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้งหนึ่ง เราก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ แล้วเขาก็บอกขอบคุณจอยมากที่ทำบริการแบบนี้ มันเป็นบริการที่เขารอคอย แล้วก็คิดว่ามันตอบโจทย์มาก ๆ โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่ไม่มีลูกหลาน” จอยเล่าเสริม
ธุรกิจเพื่อคนสูงอายุในสังคมไทย
เมื่อสังคมก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” ธุรกิจ Joy Ride ก็เลยเป็นอีกหนึ่งโมเดลธุรกิจที่กำลังเติบโต ในสภาพสังคมที่เต็มไปด้วยคนสูงอายุ แม้กระนั้นนอกเหนือจากกำไรที่จะได้รับจากการทำธุรกิจ การได้ช่วยเหลือคนสูงอายุ พร้อม ๆ กับ การผลิตสังคมที่พร้อมจะดูแลพวกเขาเหล่านั้น ก็คงจะเป็นอีกโจทย์สำคัญ ของคนรุ่นใหม่ปัจจุบันนี้
“ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใหญ่โต แล้วก็หลาย ๆ องค์กรที่มองว่าไอเดียของเราดีนะ แต่ธุรกิจของเรายังสร้างมูลค่าไม่ได้ แต่เราก็อยากสร้างแบบค่อยเป็นค่อยไป เราได้เรียนรู้ระหว่างทาง ว่าสำหรับธุรกิจนี้ การบริการผู้สูงอายุ การดูแลคนที่เขาต้องการการดูแล มันยังต้องมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่สามารถมาเสริมพลังของเราได้ ก่อนที่เราจะไปสร้างมูลค่าขนาดนั้น ซึ่งเราก็หวังนะ ไม่ใช่ว่าเราไม่หวังว่าว่าจะไม่โต” นินอธิบาย
“ในช่วง 3-4 เดือนแรก จอยคิดทุกวันที่จะหยุดให้บริการ เพราะว่าทุกเดือนมันขาดทุน แต่สิ่งที่จอยได้รับคือทุกวันมันกำไร คำพูดที่ลูกค้าบอกว่าทำต่อนะ บริการนี้ดีมาก ๆ เลย มันทำให้เรารู้สึกว่า ถ้าเราหยุด เราจะไม่ได้ทำให้ตัวเองผิดหวัง แต่มันทำให้อีกหลาย ๆ ครอบครัวรู้สึกผิดหวัง เราเลยรู้สึกว่า ถ้าเราทำบริการให้ดีได้ สุดท้ายมันจะประสบความสำเร็จ คือผู้สูงวัยจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แล้วในสังคมไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยแบบเต็มขั้น การที่เราได้เป็นส่วนช่วยเติมเต็มช่องว่างตรงนี้ เป็นเหมือนสะพานมนุษย์ เชื่อมระหว่างบ้านกับโรงพยาบาล มันทำให้เรารู้สึกว่า งานที่เราทำมีคุณค่า” จอยกล่าวสรุป